Skip to main content

สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ เปิดศึกไล่ล่า พี่ทัก นักสืบเอกชน จนต้องขอยุติบทบาท นักสืบพิฆาตสามนิ้ว

นี่จะเป็นบทความสุดท้ายที่ผมจะเขียนบอกลาแฟนคลับทุกท่าน เพราะหลังจากที่ผมได้เขียนบทความเปิดโปง “สายลับผู้ที่จาบจ้วงสถาบัน” ของ สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ ออกไปก่อนหน้านี้แล้ว 2 บทความ (เดี๋ยวผมแปะลิ้งเอาไว้ที่ใต้นี้ให้ดูถ้าใครสนใจอยากรู้ที่มาที่ไปของเรื่องนี้ ว่าทำไมพี่ทักต้องยุติบทบาทด้วย) สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ผมได้รับแจ้งจากทั้งนักข่าวที่เป็นรุ่นน้อง และ ข้าราชการที่อยู่หน่วยความมั่นคง ส่งข้อความมาบอกเล่าว่า ให้ระวังตัว เนื่องจากตอนนี้ สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ เปิดศึกไล่ล่า พี่ทัก นักสืบเอกชน อย่างเต็มรูปแบบ หมายหัวเอาไว้ ว่าจะจับตัวให้ได้ และจะเล่นงานให้ได้ ก็แปลกนะครับ แทนที่จะตั้งคณะกรรมการสอบสวน เอาผิดลูกน้องตัวเอง แต่กลับหันเป้ามาล็อคที่คน “แฉ” เรื่องนี้ และจ้องจะตามล่าตัว จะเล่นงานให้ได้ ก็แปลกดีนะครับ “ข้า-ราช-การ” หน่วยนี้

บทความแรก ที่ผมเขียน แฉสายลับผู้ที่จาบจ้วงสถาบัน
บทความที่สอง ที่ผมเขียน ถามหาความรับผิดชอบจากหน่วยต้นสังกัดของสายลับคนนั้น 

สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ เปิดศึกไล่ล่า พี่ทัก นักสืบเอกชน จนทำให้พี่ทักต้องประกาศยุติบทบาท

อันที่จริงแล้ว การติดต่อกับผมนั้น ทำได้ง่ายมากเลยนะครับ ขนาด “น้องโบ๊ท” และ “พี่เค เนชั่น” ก็ยังติดต่อกับผมได้สบายๆ เลย ผ่านทางการส่ง DM มาทางเพจเฟสบุ๊ค “พี่ทัก นักสืบเอกชน” ดังนั้น การติดต่อ มันง่ายมากๆ ครับ ทาง สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ และ “โต้ง” สายลับสองหน้า ก็สามารถติดต่อผมได้ตลอดเวลา แต่พวกเขากลับเลือกที่จะ “ไม่ทำ”

หากทาง สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ มีความจริงใจและมองว่า สิ่งที่ผมเขียนลงไปนั้น มีบางส่วนที่ไม่จริง มันเสียหาย ก็แจ้งเข้ามา ส่ง DM มาเลยครับ มาพูดคุยกัน มันไม่จริงตรงไหน ผมก็จะได้แจ้งเพิ่มเติมให้ อยากรู้อะไร ติดต่อมาสิครับ อยากให้แก้ตรงไหน มาคุยกัน ผมก็จะถามว่า ทำไมไม่จัดการลูกน้องของคุณที่จาบจ้วงสถาบันบ้างล่ะ รูปโปรไฟล์เขียนแบบนี้ ไม่จาบจ้วงสถาบันเลยหรือ? และผมจะถามต่อว่า การอำพรางตัว แฝงตัวเข้าไปหาข่าว มันจำเป็นด้วยเหรอ ที่ต้องเปิดเผยหน้าจริงๆ เปิดเผยชื่อจริงๆ แล้วโพสต์ภาพที่มีข้อความ จาบจ้วงสถาบันแบบนี้ มันจำเป็นขนาดนั้นเลยเหรอ?

 

ถ้าทาง ผู้บังคับบัญชาของ สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ จัดการแล้ว ดำเนินการแล้ว ก็แจ้งมา ผมก็จะแก้ข่าวให้ ชื่อเสียงของหน่วยท่านก็จะดีขึ้น ได้รับการสรรเสริญจากประชาชนว่า เป็นหน่วยงานราชการที่ “ตงฉิน” แต่นี่ท่านเลือกที่จะ “ไม่ติดต่อ” และเลือกที่จะ “ล็อคเป้า” “หมายหัว” จ้องจะมาเล่นงานผม เฮ้ย..แบบนี้มันถูกต้องแล้วหรือ?

อันที่จริง ถ้า “โต้ง” พูดคุย เปิดใจกับผมดีๆ ผมก็ยินดีแก้ข่าวให้ ผมมีคุณธรรม มีศีลธรรมในใจอยู่แล้ว ดูอย่างเคสของน้องโบ๊ทสิครับ พอเรื่องจบด้วยดี ผมก็แก้ข่าวและลบข้อมูลให้ ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย ชื่นมื่นทุกฝ่าย แต่นี่คืออะไรกันครับ หน่วยต้นสังกัดของโต้ง กลับจ้องจะตามล่าตัวผม จะมาเล่นงานผม

มันน่าเศร้าไปมั้ยครับที่ คนของตัวเองกระทำผิดจริง แต่กลับเบี่ยงประเด็น ไม่พูดถึง ไม่ดำเนินการใดๆ แต่กลับหันเป้ามาล็อคที่ “คนเปิดโปงเรื่อง” อยากตามหาตัว และจะเล่นงาน อย่าอ้างว่า ที่ตามหาตัวเพราะอยากจะมาชี้แจง หรือ เจรจา เพราะถ้าอยากทำแบบนั้น DM มาเลยครับ ผมไม่ได้ปิดช่องทางการส่งข้อความในเพจเลย แต่นี่ไม่มีเลย ไม่มีการติดต่อใดๆ จากสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ เลยแม้แต่ข้อความเดียว ดังนั้น อย่าอ้างว่า ที่จะมาตามหาตัวผมเพราะอยากพูดคุย มันไม่จริงเลยแม้แต่น้อยครับ

แค่ผมเขียนบทความแรกไป ก็หวังว่ามันน่าจะกระตุ้นให้คนที่อยู่ใน สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ ตื่นตัวกันได้แล้ว ณ ตอนนั้น ผมใช้คำว่า หน่วยข่าว ส. ไปย้อนอ่านดูได้ เพราะอยากปกป้องชื่อเสียงของหน่วยงานท่านเพราะเพื่อนผมก็ทำงานที่หน่วยนั้น แต่พวกท่าน กลับนิ่งเฉย ไม่ตั้งคณะกรรมการสอบสวน หรือ ดำเนินการใดๆ แต่กลับปล่อยให้ “โต้ง” ออกมาท้าชนกับผมต่ออีกด้วยการจับมือร่วมกับ “ต้อม ไทยว้อยซ์” แล้ว “แถ” แบบเนียนๆ พอผมสวนกลับ เอาชื่อหน่วยงานต้นสังกัดของโต้งมาเปิดเผย ท่านก็ยังไม่ทำอะไรกับลูกน้องตัวเองอีก แต่กลับหันมาจ้องจะเล่นงานผมแทนซะงั้น หน่วยงาน ราช-การ เค้าทำกันแบบนี้เหรอครับ คือ ไม่ว่ายังไง ลูกน้องตัวเองก็ไม่ผิด คนที่เอาความจริงมาแฉนั่นแหละ “ที่เป็นฝ่ายผิด” บ้านเมืองเราจะอยู่กันแบบนี้จริงๆ ใช่มั้ยครับ?

ผมถามสักนิดเถอะครับ ถ้าตอนแรก ที่ผมเขียนบทความแรกไป ท่านดำเนินการซะให้มันเหมาะสม ผมจะเขียนบทความที่สองอีกมั้ย? คำตอบก็คือ ไม่ครับ แต่เพราะท่าน นิ่งเฉย ไม่ทำอะไร ถูกต้องมั้ย ผมก็เลยต้องถามหาความรับผิดชอบจากพวกท่าน ด้วยบทความที่ 2 ถ้ามีใจเป็นธรรม ก็น่าจะมองออกนะว่า ผมไม่ได้จ้องจะทำลายชื่อเสียงหน่วยงานของท่าน แต่ผม “ถามหาความรับผิดชอบ” จากผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ในหน่วยงานของท่าน

เมื่อมีข่าวว่า สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ เปิดศึกไล่ล่า พี่ทัก นักสืบเอกชน แบบนี้ ผมก็ขอยอมแพ้ครับ เพราะผมรู้ดีว่า หน่วยงานด้านการข่าวระดับชาติแบบนี้ มีเครื่องไม้เครื่องมือมากมายอยู่แล้ว ทั้งไฮเทค และล้ำสมัย การจะไล่ล่า ตามหาตัวผมนั้น มันช่างง่ายแสนง่าย (แต่แปลกนะกลับไม่เอามาใช้ตามหาตัวพวกแกนนำทะลุแก๊สบ้าง หรือว่ามีอยู่ แต่ไม่คิดจะเอามาใช้) ผมไม่มีทางสู้ท่านได้หรอกครับ ผมก็แค่ประชาชนคนธรรมดา มีแค่มือถือกับโน๊ตบุ๊ค จะไปสู้อะไรกับพวกท่านทั้งหน่วยได้ ผมขอยอมแพ้ครับ

ถ้าหากท่านไม่พอใจในการ “มีตัวตนอยู่” ของผม ผมก็ยินดียุติบทบาทครับ จะกลับไปทำไร่ทำสวนอย่างสงบกับครอบครัว รับจ้างตามสืบและตามจับบ้านเล็กเหมือนเดิม ไม่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ให้พวกท่านต้องขุ่นข้องหมองใจอีกแล้ว

แต่ผมบอกเลยนะครับว่า ณ เวลานี้ อีกแค่นิดเดียว ก็จะชนะพวก “ทะลุแก๊ส” และพวกสามนิ้วทั้งหลายได้แล้ว ผมมีข้อมูลยืนยันตัวบุคคลของแอดมินเพจ และ แอดมินกลุ่ม LINE ทะลุแก๊ส ทั้ง แก๊ส ที่ลงท้ายด้วย ส. และ ซ. ผมมีข้อมูลครบเรียบร้อยแล้ว พร้อมเบอร์มือถือ และรูปภาพหน้าชัดๆ ที่ตั้งใจจะเอามาเปิดเผยเพื่อเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมืองอยู่แล้ว แต่น่าเสียดาย พอมาเจอข่าวว่า ตัวเองโดนหมายหัวจากเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ในข้อหา “เอาความจริงเกี่ยวกับเนื้อที่เน่าเฟะในหน่วยราชการมาเปิดเผยให้ประชาชนรู้” แบบนี้ก็ท้อแท้ครับ

 

การที่ผมโดนพวกสามนิ้ว หมายหัว, ทัวร์ลง, ส่งข้อความมาด่า, ขู่ฆ่า, ขู่อาฆาต ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ผมไม่เคยกลัว เพราะผมเชื่อมั่นเสมอว่า สิ่งที่ผมทำนั้น ถูกต้อง เป็นผลดีกับทั้งประเทศชาติ และสถาบันกษัตริย์ ใช่ครับ ผมเทิดทูนและยึดมั่นในสถาบันกษัตริย์ และเชื่อว่า ความรักประเทศชาติของผม ไม่ได้น้อยไปกว่าพวกคนใหญ่คนโต ที่มียศถาบรรดาศักดิ์อย่างแน่นอน เพราะความรักชาติ มันไม่ได้วัดกันจากตำแหน่งหน้าที่ แต่มันวัดกันที่ คุณกล้าที่จะทำอะไรดีๆ เพื่อบ้านเมืองหรือไม่ วันนี้ผมกล้าทำ กล้าออกมาสู้ แต่เมื่อโดนหมายหัว ล็อคเป้า จ้องที่จะเล่นงานจากหน่วยงานราชการแบบนี้ ผมก็ขอยอมแพ้ครับ

ใช่ครับ ผมไม่สู้ ไม่ขัดขืนใดๆ แน่นอนครับ ผมเป็นประชาชนเต็มขั้น เมื่อโดนเจ้าหน้าที่ความมั่นคงหมายหัว ใครไม่กลัวก็คงจะบ้าไปแล้ว ผมยอมรับว่า ผมกลัวมากครับ และผมยอมแพ้ ผมขอยุติบทบาท จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวใดๆ กับเรื่องพวกนี้อีกแล้ว ต่อให้พวก “สามนิ้ว” จะยึดครองประเทศไปได้ ผมก็จะไม่สนใจ หรือจะมีใครออกมาเผา ออกมาทำลายบ้านเมืองแค่ไหน ก็ตามสบายครับ ผมยอมแพ้ ผมไม่สนใจแล้ว ผมจะดูแลครอบครัวตัวเองให้ดีที่สุดเท่านั้นก็พอ ผมไม่อยากเสี่ยงตกเป็นเป้าของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองแบบนี้

ผมไม่ได้ขี้ขลาด ผมบอกแล้วว่า ผมไม่เคยกลัวพวกสามนิ้วเลยแม้แต่น้อย แต่ผมมีลูก มีเมีย มีคนที่อยู่ข้างหลังผมเต็มไปหมด การที่ผมโดนล็อคเป้า โดนหมายหัวจาก สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ แบบนี้ มันคือการ “คุกคาม” อย่างที่ผมเคยให้ Definition เอาไว้ และผมกลัวครับ ผมไม่กล้าสู้กับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองหรอกครับ ก็บอกแล้วว่า ถ้าการคงอยู่ของ “พี่ทัก นักสืบเอกชน” มันเป็นผลร้ายกับหน่วยงานของท่าน เพราะ “พี่ทักมันรักและเทิดทูนสถาบันมากเกินไป” ก็ไม่เป็นไรครับ ผมยอมแพ้ ผมขอหยุดการโพสต์ หยุดการนำเสนอทุกอย่าง ไว้เพียงเท่านี้

 

ผมนึกถึงคำพูดที่ภรรยาถามผมขึ้นมาทันทีเลยครับ ในตอนที่ผมกำลังหมกมุ่นอยู่กับการค้นคว้าหาข้อมูล และออกไปม็อบทุกวัน เธอถามว่า “พี่จะทุ่มเท จะต้องมาเหนื่อย และเอาเวลามาทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร ประเทศก็ไม่ใช่ของเราคนเดียวสักหน่อย หน่วยความมั่นคงเค้าก็มีกันเยอะแยะ ทำไมพี่ไม่ปล่อยให้เค้าทำไปล่ะ จะเอาตัวเองมาเสี่ยงทำไม?” ตอนนั้นผมก็ดื้อรั้นและผมก็ตอบไปว่า ผมอยากทำ ผมอยากแก้แค้นให้น้องสาว และไหนๆ ก็ทำมาถึงนี่แล้ว ผมก็อยากจะไปให้สุด เพียงแต่ไม่คิดว่า วันนึงตัวของผมเองจะตกเป็นเป้าหมายของหน่วยงานความมั่นคงไปซะอย่างนั้น กลายเป็นผมต้องเอาครอบครัวตัวเองมาเสี่ยงแบบนี้ มันทำให้ผมเสียใจมากๆ

ท่านไม่ต้องมาล็อคเป้า ไม่ต้องมาพยายามตามหาผมหรอกครับ ผมมายังไง ผมก็ไปแบบนั้น ผมไม่กล้าสู้กับท่านหรอกครับ เพราะไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ตอนไหน ผมก็สู้ท่านไม่ได้ ผมก็ขอให้ท่านดูแลรักษาความมั่นคงของประเทศให้ดีนะครับ หลังจากนี้ ประชาชนอย่างเราๆ ก็ตัวใครตัวมัน ถ้าจะออกมาสู้แบบผม ก็ระวังเอาไว้ เพราะเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเค้าก็ไม่ได้ชอบนักหรอกนะครับ ที่จะมีใครออกมาโชว์เก่ง ล้ำหน้าเกินเขาน่ะ

สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณทุกๆ ท่าน ที่ช่วยเหลือ ให้กำลังใจ สนับสนุน ทุกๆ ความเห็น ทุกๆ คอมเม้นท์ ผมได้อ่านมันทั้งหมด ผมจะไม่มีวันลืมน้ำใจ และความอบอุ่นของทุกท่านที่มีให้ผมเสมอมา ผมไม่สามารถหา “คำศัพท์” คำไหน มาเขียนแทนใจ แทนคำขอบคุณ และความรู้สึกที่ผมมีต่อทุกท่านได้ แต่ขอให้รู้เอาไว้ว่า ครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ เคยมีคนที่ชื่อว่า “พี่ทัก นักสืบเอกชน” หรือ “พี่ทัก เก้านิ้ว” ออกมายืนเคียงข้างทุกท่าน คอยพิทักษ์และปกป้องราชบัลลังก์ และมุ่งหวังทำให้ 3 สถาบันหลักของชาติ ได้แก่ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ คงอยู่ต่อไปตราบนานเท่านาน แต่วันนี้ด้วยการที่ผมถูก “คุกคาม” จาก “ข้า-ราช-การ” เพราะผมเอาความจริงมาแฉ ก็ขอให้ทุกท่านดูเอาไว้เป็นบทเรียน และได้มองเห็นความจริง จากสิ่งที่มันเกิดขึ้น ท่านจะตัดสินใจทำอะไรหลังจากนี้ ก็ขอให้เป็นดุลยพินิจของท่าน

ส่วนตัวผมเองนั้น ขอยุติบทบาท การทำ “เพจ” “ทวิตเตอร์” และ เว็บไซต์ “พี่ทัก นักสืบ เอกชน” เอาไว้เพียงเท่านั้น เขียนไปก็ร้องไห้ไป แต่ไม่มีน้ำตาที่ไหลออกมา เพราะมันตกในไปหมดแล้ว

รักทุกคนเสมอ

พี่ทัก นักสืบเอกชน
21 ก.ย. 64

Popular posts from this blog

แบงค์ “เมียสลิ่มก็ไม่เอา” ควงแฟนใหม่ “ที่เกลียดสลิ่ม” ออกงาน Car Mob 19 ก.ย. 64

เรื่องนี้จะไม่เอาขยายผลก็คงจะไม่ได้ ถ้าใครได้ติดตามเฟสบุ๊ค และทวิตเตอร์ “พี่ทัก นักสืบเอกชน” มาอย่างต่อเนื่อง จะเห็นว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 64 ที่ผ่านมา ตำรวจได้เข้าไปตรวจค้นบ้านของแกนนำกลุ่ม “โรนิน ฝั่งธน” นั่นคือ แบงค์ ตามคลิปที่เห็นด้านล่างนี้นี่แหละครับ ซึ่งการตรวจค้นของทางตำรวจก็ทำตามกฎหมายนะครับ มีหมายค้นมาอย่างถูกต้อง ประเด็นก็คือ ภรรยาของ แบงค์ ไม่พอใจที่ แบงค์ หาเรื่องเข้าบ้าน เตือนแล้วว่าอย่าไปม็อบก็ไม่ฟัง จนตำรวจบุกมาค้นบ้าน อับอายคนในหมู่บ้าน แต่แบงค์ก็เลยสวนกลับ ว่าภรรยาตัวเองว่าเป็นสลิ่ม จนทำให้ แบงค์ จิ๊กโก๋ โรนินฝั่งธน โด่งดังไปทั้งประเทศด้วยวลีเด็ด “เมียสลิ่มก็ไม่เอาครับ” และประกาศว่าจะย้ายออกจากบ้านทันที แล้วบ่ายวันนั้นก็ไปม็อบต่อ แบงค์ “เมียสลิ่มก็ไม่เอา” นอกใจภรรยา ตั้งแต่ก่อนที่จะมีประเด็นหลังจากโดนตำรวจค้นบ้าน หลังจากวันที่ 10 ก.ย. 64 แบงค์ “เมียสลิ่มก็ไม่เอาครับ” ก็ได้ย้ายออกจากบ้านจริงๆ เหมือนจะประกาศแยกทางกับภรรยา แต่มีการโพสต์เป็นห่วงลูกชายด้วย ทำให้หลายคนมองว่า แบงค์ เป็นพ่อบ้านใจกล้าที่ไม่กลัวเมียจริงๆ แต่ประเด็นก็คือ เมื่อทำการตรวจสอบย้อนหลังไป จะพบว่า ...

นักสืบ แฉ "สายลับ" ของหน่วยข่าวแฝงตัวในม็อบสามนิ้ว "หนอน" กลายเป็น "เกลือ"

หลายคนคงจะได้เห็นภาพที่เอาผมเอาลงไปก่อนหน้านี้ ว่ามีคนมาโวยวาย กล่าวหาว่าผมเอาภาพที่เค้าถ่ายไปใช้ในเฟส/ทวิต โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งจริงครับ ถูกต้องตามที่เค้ากล่าวเลย แต่ๆๆ ใจเย็นๆ ครับ มันมีที่มาที่ไป ผมจะขอเล่าย้อนความตามลำดับซะหน่อย จะได้ให้ความรู้เรื่องการสืบสวนทางออนไลน์กับแฟนคลับทุกท่าน ( วิชา นักสืบ 101 ) จะได้เข้าใจว่า จริงๆ แล้ว ทุกคนก็ทำอย่างผมได้ มันไม่ยากเลย ไม่จำเป็นต้องใช้อะไรพิเศษ ก็สามารถพิสูจน์ตัวตนของบุคคลในโลกออนไลนได้ เพียงแต่ครั้งนี้ ผมดันไปจับปลาตัวใหญ่ได้ด้วยเบ็ดตกปลาไม้ไผ่อันเล็กๆ แค่อันเดียว อาจจะเรียกว่า ใช้แค่เบ็ดเล็กๆ แต่ตกได้ปลาวาฬซะงั้น มาดูกันครับว่า มันเป็นยังไง เรื่องนี้ยาวนิดนึง แต่รับรองว่า อ่านสนุก และได้ความรู้แน่ๆ ครับ ในช่วงที่ผ่านมาผมกำลังตามสืบพวก ตากล้อง/ช่างภาพ(เถื่อน) ทั้งหลาย ทั้งตากล้องภาพนิ่ง ทั้งพวกไลฟ์สด ที่แอบแฝงตัวมาอยู่ในม็อบสามนิ้ว แล้วถ่ายภาพหากิน แต่การจะหาตัวตนของคนพวกนี้ว่าเค้าเป็นใคร มันยากครับ แค่เจอหน้า เห็นหน้า มันพิสูจน์ตัวได้ยาก ยิ่งใส่หน้ากากด้วยแล้ว ยิ่งยากไปกันใหญ่ ดังนั้น เราก็ต้องวางเบ็ดใส่เหยื่อวางไว้ครับ เทคนิคก็คือ...